การวิเคราะห์ราคา ที่ควรศึกษาและหาวิธีการวิเคราะห์ให้เหมาะกับตัวเรา แบ่งเป็นหัวข้อหลักๆได้ 2 หัวข้อคือ Technical Analysis(วิเคราะห์เชิงคณิตศาสตร์ เทคนิควิธีการรูปแบบแพทเทิลต่างๆ นาๆ) และ Fundamental Analysis(คือการวิเคราะห์ในปัจจัยพื้นฐาน อย่างเช่นเศรษฐกิจ หรือข่าวสังคม ฯลฯ)
technical analysis
เหตุผล 3 ข้อที่ทำให้วิธีนี้ทำกำไรได้
1. จิตวิทยาฝูงชน
2. ความไม่เท่าเทียมกันของข้อมูล ถ้า มีอินไซด์จะรู้ได้ก่อน
3. การไม่ตอบสนองข้อมูลของตลาดทันทีเพราะเครื่องมือเกิดจากการคำนวณทางคณิตศาสตร์ดังนั้นข้อมูลที่นำมาคำนวณเกิดจาก อดีตที่ผ่านมาแล้วพล็อตออกมาเป็นกราฟฟิคให้เราเห็น
* ในข้อ 3. ผมมองว่า ถ้าเราใช้เครื่องมือทาง Technical เช่น Trend line channelต่างๆ Band Rsi ฯลฯ เราไม่ควรมองที่ กราฟฟิคอย่างเดียว ควรจะศึกษาให้ลึกถึงรากฐานของสมมุติฐานผู้พัฒนามันขึ้นมา แล้วจะได้ใช้ให้ถูกตามหลักวิชากร
เหตุผลที่ไม่เวิร์ค
1. ราคาที่ขึ้นลงแรงๆ ทำให้พลาด
2. ถ้าทุกคนทำเหมือนกัน ก็ไม่มีใครทำกำไรได้
fundamental analysis
จุดอ่อน
1. การคาดการณ์อนาคต ไม่สามารถพิสูจน์ได้ในปัจจุบัน มีปัจจัยเปลี่ยนแปลงในอนาคตมาก เช่น คู่แข่ง สงครามราคา ภัยธรรมชาติ เหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง
2. ตัวเลขที่กำหนดขึ้นไม่แม่นยำพอ เช่น โตไปอีก 10,20 ปี ก็ให้ผลที่คำนวณได้ต่างกันมาก
3. ยอมจ่ายมากแค่ไหนสำหรับการเติบโต
4. สำหรับ นักวิเคราะห์ อาจผิดพลาด เพราะ conflict of interest , แรงกดดันจาก port ของโบรคเอง
Modern portfolio theory
ความเสี่ยง คือ โอกาสที่จะเสียหาย ซึ่งเราต้องอยู่กับมันอยู่แล้วดังนั้นจึงหาวิธีที่จะอยู่ร่วมกันได้
ใน mpt ความเสี่ยง คือ ความแตกต่างระหว่าง ผลตอบแทนเฉลี่ยกับผลตอบแทนคาดหวัง ซึ่งรวมผลตอนที่กำไรเยอะๆด้วย
จากการกระจายปกติ จะสมมาตร ดังนั้น ความเสี่ยงเป็นครึ่งนึงของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ความเสี่ยงมี2ชนิด คือ
1. systematic risk ไม่สามารถกำจัดได้ คำนวณค่า เบต้า บอกว่า แกว่งมากน้อยกว่าตลาดแค่ไหน เบต้า=1 แปลว่าเท่ากับตลาด เบต้า=2 แปลว่าแกว่งมากกว่าตลาด 2เท่า ตลาดขึ้นลง 10% หุ้นขึ้นลง 20%
2. unsystematic risk กำจัดได้โดยการกระจายซื้อหุ้นหลายตัว
CAPM บอกว่า high risk high return แต่มีงานวิจัยขัดแย้ง จึงมีโมเดลวัดความเสี่ยงแบบใหม่ เช่น arbitrage pricing theory
คำนึงถึง อัตราดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อ รายได้ประชาชาติ อัตราแลกเปลี่ยน
The fama-french three-factor model
มีตัวแปร 3 ตัวในการระบุความเสี่ยง
1. เบต้า จาก CAPM
2. Size จาก marketcap
3. value จาก book value
ปัจจุบันยังไม่มีโมเดลไหน อธิบายเรื่องความเสี่ยงได้สมบูรณ์
ทฤษฎีต่างๆของเศรษฐศาสตร์ในอดีต มีสมมติฐานว่าคนมีเหตุผล แต่ในความเป็นจริงคนทำตามอารมณ์มากกว่าเหตุผล จึงเกิดสาขาใหม่ของเศรษฐศาสตร์คือ เศรษฐศาสตร์พฤติกรรม และในตลาดหุ้นก็เป็นตัวอธิบายได้ดี เช่น มั่นใจเกิน, กลัวความสูญเสีย, ประเมินสิ่งที่เป็นเจ้าของแล้วสูงเกิน
ทฤษฎีตลาดมีประสิทธิภาพ อาจไม่เป็นจริงตลอดเวลา แต่ความไม่มีประสิทธิภาพจะคงอยู่ไม่นาน ความแตกต่างระหว่างตลาดมีประสิทธิภาพตลอดเวลากับมีประสิทธิภาพส่วนใหญ่แตกต่างอย่างใหญ่หลวง
คู่มือลงทุนแบบช้าแต่ชัวร์
1. เริ่มออม
2. มีเงินสำรองและทำประกัน
3. เงินสำรองควรเก็บในที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด เช่น money market fund,internet bank,กองทุนต่างๆ เป็นต้น
4. ศึกษาเรื่องการลดหย่อนภาษี
5. การลงทุนแต่ละชนิดเหมาะกับคนไม่เหมือนกัน
6. ลงทุนในอสังหา เช่น บ้านตัวเอง หรือกองทุน REITs
7. ลงทุนในพันธบัตร
วิธีการลงทุนในตลาดหุ้น
1. แบบไม่ต้องใช้สมองเลย คือ ซื้อ index fund เพราะกองทุนส่วนใหญ่แพ้ตลาด อีกทั้ง index fund เก็บค่าธรรมเนียมต่อปีถูกมาก หรือไม่ก็ซื้อ ETF
2. เลือกหุ้นเอง ปฏิบัติตามกฎต่อไปนี้ 2.1 ดูเฉพาะบริษัทที่จะเติบโตมากกว่าค่าเฉลี่ยไปอีกอย่างน้อย 5 ปี 2.2 ซื้อเมื่อราคาสมเหตุสมผล pe อาจสูงกว่าค่าเฉลี่ยได้ แต่ต้องมี growth ที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยด้วย(จึงไม่ใช่กลยุทธ์ pe ต่ำ)
2.3 ระวังความคาดหวังของนักลงทุน เพราะจะทำให้ราคาขึ้นอย่างไร้เหตุผล
2.4อย่าทำการซื้อขายบ่อย
3. จ้างมืออาชีพบริหารพอร์ตให้เลย(ND INVESTOR)
Komentar